หากจะกล่าวถึงมะเร็งคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้ามะเร็ง วัยร้ายนี้อย่างแน่นอน แล้วเราจะหลีกเลี่ยงเจ้าวัยร้ายตัวนี้อย่างไร ต้องรับประทานอาหารอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็ง หรือหากเป็นโรคนี้แล้วควรรับประทานอาหารและมีข้อควรปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อป้องกันอาการข้างเคียงจากการรักษาและให้เหมาะสมกับโรคที่เป็นอยู่ วันนี้เราเกร็ดความรู้เรื่องนี้มาฝากกันค่ะ
อาหารบางชนิดอาจมีผลต่อการเกิดหรืออาจป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้บ้าง เช่น
- อาหารที่มีสารไฮโดรคาร์บอน ที่เกิดจากการเผาไหม้ปิ้ง ย่าง จนเกรียม อาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรทจากสารรักษาสภาพอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารหมักดอง และอาหารที่มีความชื้นและมีเชื้อราปนเปื้อน ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าอาหารอื่น
- อาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ปรุงโดยการทอดหรือผัดซึ่งมีไขมันสูงจนทำให้เกิดโรคอ้วน อาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม มีทฤษฎีว่าโรคมะเร็งอาจเกิดจากผลของสารอนุมูลอิสระ (oxygen free radical) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของการเผาผลาญอาหาร ถ้ามีอนุมูลอิสระนี้มากเกินไป เซลปกติอาจกลายพันธุ์เป็นเซลมะเร็งได้
- ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า antioxidant พบมากในผักและผลไม้บางชนิด เช่น ชาเขียว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เป็นต้น จะช่วยต้านผลของสารอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งได้ระดับหนึ่ง การทานเนื้อสัตว์ ประเภทเนื้อแดง ไขมันสูง ให้พอเหมาะ ทานปลามากขึ้น เน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น อาหารประเภทกากใย เช่น ผักผลไม้บางชนิด ซึ่งมีบทบาทในการกำจัดอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งได้
อย่างไรก็ตาม อาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดมะเร็งโดยตรง แต่น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการก่อโรคมะเร็ง ดังนั้น อาหารเพื่อต่อต้านการเกิดมะเร็งจึงควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ไม่ใช่เลือกที่จะบริโภคหรือไม่บริโภคอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง และเป็นอาหารที่มีความสะอาด เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว ความต้องการอาหารจะแตกต่างจากคนปกติ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การรับยาเคมีบำบัด ซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อซ่อมแซมเซลปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถรับการรักษาได้ครบถ้วนตามแผนที่แพทย์ได้วางไว้
นอกจากนี้ โรคมะเร็งหรือวิธีการรักษาอาจมีผลทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร แผลอักเสบเยื่อบุช่องปากหรือหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีแนวโน้มที่จะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักตัวลดลง ดังนั้น ควรพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ในระหว่างการรักษา ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือ อาหารต้องสุกและสะอาด ในขณะที่มีภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก เช่น หอยนางรม กุ้งเต้น ปลาดิบ
ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยทุกราย อาการต่าง ๆ สามารถควบคุมด้วยยาได้ค่อนข้างดีในปัจจุบัน และอาการส่วนมากมักหายไปหลังหยุดการรักษา
แต่หากผู้ป่วยเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษาโรคมะเร็ง มีข้อควรปฏิบัติตัว ดังนี้
เบื่ออาหาร มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- ลองรับประทานอาหารเหลว หรืออาหารผงสำเร็จรูป
- ลองรับประทานอาหารมื้อละน้อยๆ แต่บ่อย ๆ
- ถ้าไม่อยากรับประทานอาหารหรือข้าว อาจลองรับประทานอาหารเหลว เช่น ซุป น้ำผลไม้ หรือ นม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร และพลังงานที่เพียงพอ
- ลองแปรรูปอาหารบางชนิด เช่น ผลไม้สด อาจทำเป็น น้ำผลไม้ปั่นผสมนม เป็นต้น
- ลองอาหารที่อ่อนๆ หรือ อาหารที่เย็นๆ เช่น โยเกิรต์ นมปั่น
- ถ้าเริ่มรับประทานอาหารได้ดี ควรเพิ่มปริมาณของอาหารให้แต่ละมื้อ
- ผู้ป่วยส่วนมากรู้สึกอยากรับประทานอาหารในช่วงเช้าดีกว่าช่วงอื่น
-การดื่มน้ำขณะรับประทานอาหารจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ดังนั้น อาจดื่มน้ำก่อนหรือหลังรับประทานอาหาร 30-60นาที
เจ็บในช่องปาก และลำคอ
อาการเจ็บที่ปาก เหงือก และ ในคอ มักเกิดจากการฉายรังสี การให้เคมีบำบัด หรือ การติดเชื้อ ควรให้ทันตแพทย์ตรวจ ว่ามีโรคที่ฟันและเหงือก หรือไม่ ก่อนนึกถึงว่าอาการเจ็บเกิดจากการรักษามะเร็ง ยาบางชนิดอาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- รับประทานอาหารที่อ่อนเคี้ยวกลืนง่าย เช่น นมปั่น กล้วย แตงโม โยเกิร์ต ผักต้มสุก มันฝรั่งบด เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงอาหาร หรือของเหลวที่ระคายเคืองช่องปาก เช่น ส้ม มะนาว รสเผ็ดจัด เค็มจัด ผักที่ไม่ได้ทำให้สุก หรือน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ แอลกอลฮอล์ รวมถึงอาหารที่ร้อนจัด
- ปรุงอาหารให้สุก นิ่ม
- ดื่มน้ำ หรือของเหลว จากหลอด
- ใช้ช้อนขนาดเล็กกว่าปกติ
- ลองรับประทานอาหารที่มีความเย็น หรือ อุณหภูมิห้อง
- ลองอมน้ำแข็ง
- บ้วนปากบ่อยๆด้วยน้ำเปล่า เพื่อกำจัดเศษอาหาร
- แพทย์อาจสั่งน้ำยาบ้วนปาก หรือ ยาชาเฉพาะที่ ตามความเหมาะสม
ปากแห้ง การให้เคมีบำบัด และรังสีรักษา บริเวณ ศีรษะ และคอ จะทำให้น้ำลายลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยปากแห้งได้ ช่องปากที่แห้ง อาจทำให้การรับรสของผู้ป่วยเปลี่ยนไป มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อให้กลืนหรือ พูดคุย ได้ง่ายขึ้น
- ลองรับประทานอาหารว่างที่มีรสหวานหรือ รสเปรี้ยวเพื่อเพิ่มการหลั่งน้ำลาย (ไม่ควรให้ในผู้ป่วยที่มีแผลบริเวณช่องปาก)
- อมลูกอมแข็งๆ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย
- รับประทานอาหารอ่อนที่กลืนง่าย
- ทาริมฝีปากด้วยขี้ผึ้ง กรณีริมฝีปากแห้ง
- ถ้าช่องปากแห้งมาก แพทย์อาจสั่งน้ำลายเทียมให้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น