เว็บหนัง พร้อมสาระและความบันเทิงครบครัน
เว็บที่ให้ได้ มากกว่าที่คุณคิด
เว็บอาจโดนบล็อค โปรดกด Like Fanpage เพื่อติดตามที่อยู่เว็บ
ขณะนี้เว็บกำลังปรับปรุง ขออภัยท่านผู้เข้าชม ในความไม่เป็นระเบียบของรูปแบบเว็บด้วยนะคะ ^ ^

ค้นหาส่ิ่งที่คุณสนใจได้เลยจ้า

เพลงแนะนำ ตามกระแส


วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

ประจำเดือน (Menstruation) เรื่องที่ผู้หญิงควรรู้

ประจำเดือน เป็นภาวะที่มาคู่กับผู้หญิงโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วประจำเดือนเกิดขึ้นได้อย่างไร และอย่างไรที่เรียกว่าประจำเดือนมาผิดปกติ แล้วเราควรพบแพทย์เมื่อใด หากประจำเืดือนมา่ผิดปกติ บทความนี้เป็นความรู้ที่ได้จากการอ่านบทความของท่านแพทย์หญิง กีรติ ลีละพงศ์วัฒนา สูตินรีแพทย์ ซึ่งท่านเคยให้ความรู้ไว้ในบทความหนึ่ง








เรามารู้จักกับประจำเดือนกันค่ะ



ประจำเดือนคืออะไร?

ประจำเดือน หรือ รอบเดือน หรือ ระดู (Menstruation หรือ Period) คือ เลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ ที่หลุดลอกออกจากเยื่อบุโพรงมดลูก หรือเยื่อบุมดลูก โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง โดยสัมพันธ์กับการตกไข่ ซึ่งการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกจะเกิดประมาณเดือนละครั้ง ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ จึงถูกเรียกว่า ประจำเดือน

ในช่วงครึ่งแรกของรอบเดือนปกติ (รอบเดือนปกติ จะประมาณ 28 วัน) เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญหนาตัวขึ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่ ประมาณกึ่งกลางของรอบเดือน (ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน) จะมีการตกไข่จากรังไข่ข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อรอการปฏิสนธิกับอสุจิ จากนั้นไข่ที่ผสมแล้ว หรือ ตัวอ่อนจะมีการฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก
ในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือน หลังตกไข่ จะมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและต่อมต่างๆในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศหญิงอีกชนิดจากรังไข่เช่นกัน ซึ่งสร้างมากขึ้นหลังตกไข่ คือ ฮอร์โมนโปรเจสเตโรน (Progesterone) เพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนเพื่อเจริญเป็นการตั้งครรภ์
แต่ในรอบเดือนที่ไม่มีการปฏิสนธิ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตโรนจากรังไข่จะลดระดับลง ส่งผลให้มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก (ประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือน) กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ประจำเดือน
หลังจากมีประจำเดือนแล้ว รังไข่จะเริ่มสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น เริ่มต้นวงจรของการเกิดประจำเดือนใหม่ เกิดเป็นรอบเดือน หรือ ประจำเดือน วนเวียนไปเรื่อยๆตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งคือ วัยที่รังไข่ยังสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดดังกล่าวได้ แต่เมื่อสูงวัยขึ้น เซลล์รังไข่จะเสื่อมสภาพจนหยุดการสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดหรือสร้างได้น้อยมาก จึงส่งผลให้ไม่มีประจำเดือนหรือภาวะหมดประจำเดือนถาวร (Menopause) ที่นิยมเรียกว่า วัยทองนั่นเอง

ประจำเดือนปกติเริ่มอายุเท่าไร? หมดประจำเดือนอายุเท่าไร?
การเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกเป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งของการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยอายุที่เริ่มมีประจำเดือนปกติอยู่ระหว่าง 7-16 ปี ในเด็กไทยเฉลี่ยที่อายุ 11-12 ปี
ในช่วง 1-2 ปีแรกของการมีประจำเดือน อาจมีรอบประจำเดือนมาไม่ สม่ำเสมอ เป็นผลจากการควบคุมของระดับฮอร์โมนเพศยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งพบได้เป็นปกติ
โดยทั่วไป ภาวะหมดประจำเดือน จะอยู่ในช่วงอายุ 45-55 ปี เฉลี่ยประมาณ 51-52 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับ พันธุกรรม สุขภาพร่างกายโรคต่างๆที่การรักษาส่งผลถึงการทำงานของรังไข่ เช่น โรคมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ ที่ต้องตัดรังไข่ ได้ยาเคมีบำบัด และ/หรือ ได้รับรังสีรักษาในบริเวณท้องน้อย (อุ้งเชิงกราน) ซึ่งวัยช่วงมีประจำเดือน ทางแพทย์มักเรียกว่า วัยเจริญพันธุ์


ประจำเดือนปกติมีลักษณะอย่างไร?
ประจำเดือนปกติมีลักษณะดังนี้ คือ ปริมาณและระยะห่างของรอบประจำเดือนมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล หนึ่งรอบของประจำเดือนปกติมีระยะเวลา 21-35 วัน การนับระยะห่างของรอบเดือน โดยนับวันแรกของการมีประจำเดือนเป็นวันที่หนึ่งของรอบเดือนจนถึงวันสุดท้ายก่อนมีประจำเดือนรอบใหม่ ระยะเวลาของการมีประจำเดือน (มีเลือดออก) ปกติ คือ 3-7 วันเลือดประจำเดือนที่ออกในแต่ละรอบมีปริมาณ 20-80 มิลลิลิตร เฉลี่ยประมาณ 35 มิลลิลิตร โดยระหว่างรอบเดือนไม่ควรมีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด
อนึ่ง การจดบันทึกประจำเดือนทุกๆ ครั้ง ทำให้สามารถทราบค่าเฉลี่ยของระยะห่างของรอบเดือน จำนวนวันที่มีประจำเดือนทำให้เราสามารถค้นพบความผิดปกติของรอบเดือนได้ง่ายและเร็วขึ้น ทั้งยังสามารถคาดคะเนวันที่จะเริ่มมีประจำเดือนรอบต่อไปและการคาดคะเนวันที่ไข่ตกได้

ควรดูแลตนเองระหว่างมีประจำเดือนอย่างไร?

การดูแลตนเองระหว่างมีประจำเดือน ได้แก่


  • ระหว่างมีประจำเดือน สามารถใช้ผ้าอนามัยในการรองรับเลือดประจำเดือน ในปัจจุบันมีทั้งชนิดแผ่นและชนิดสอด มีทั้งแบบแผ่นบาง แผ่นหนา มีขนาดมาตรฐานและยาวพิเศษ โดยสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ ขนาดรูปร่าง ปริมาณประจำเดือน ความสบาย ไม่ระคายเคือง ควรพยายามหลีกเลี่ยงผ้าอนามัยชนิดมีน้ำหอมเพื่อลดอาการระคายเคืองต่ออวัยวะเพศ
  • ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างน้อยทุก 4-6 ชั่วโมงหรือเมื่อผ้าอนามัยชุ่มแผ่น เพื่อลดการระคายเคือง และกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
  • ช่วงที่มีประจำเดือนควรรับประทานอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ โดยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง หลีกเลี่ยงกาแฟ บุหรี่ สุรา เพื่อลดอาการก่อนมีประจำเดือน
  • ควรออกกำลังกายที่เหมาะสม ไม่หักโหม เนื่องจากช่วงมีประจำเดือนมีการเสียเลือดและเกลือแร่บางชนิดออกจากร่างกาย อาจทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและรู้สึกล้ามากกว่าปกติ
  • ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ช่วงมีประจำเดือนไม่เป็นข้อห้ามของการออกกำลังกาย เนื่องจากระหว่างออกกำลังกาย ร่างกายจะมีการหลั่งสารแห่งความสุข (เอนดอร์ฟิน/ Endorphin) ช่วยผ่อนคลายความเครียดและบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้
  • การว่ายน้ำในช่วงมีประจำเดือนสามารถทำได้ โดยอาจเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบสอด เพื่อลดการเปรอะเปื้อน โดยต้องเลือกสระว่ายน้ำที่สะอาด มีมาตรฐาน เพื่อลดการติดเชื้อ
  • ช่วงมีประจำเดือนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ ไม่เป็นข้อห้ามแต่อย่างใด แต่ควรระมัดระวังเรื่องของความสะอาด เนื่องจากเป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิดและเลือดประจำเดือนเป็นอาหารที่ดีของเชื้อแบคทีเรียทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น




ประจำเดือนผิดปกติคืออะไร?



ประจำเดือนผิดปกติพบได้ประมาณ 30% ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ สามารถพบได้หลายรูปแบบ เช่น
  • ประจำเดือนมามากและมีลิ่มเลือด (Hypermenorrhea)
  • ประจำเดือนมามาก มานานกว่า 7 วันหรือระยะห่างของรอบเดือนน้อยกว่า 21 วัน (Menorrhagia)
  • ประจำเดือนมาน้อยกว่าปกติ (Hypomenorrhea)
  • ระยะห่างของรอบประจำเดือนนานมากกว่า 35 วัน (Oligomenorrhea)
  • ประจำเดือนมามาก มานานกว่า 7 วัน ระยะห่างของรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ (Menometrorhagia)
  • ประจำเดือนมาปริมาณปกติ แต่ระยะเวลาอาจมากกว่า 7 วัน และระยะห่างของรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ (Metrorhagia)
  • ประจำเดือนหายไปมากกว่า 3-6 รอบเดือน (Amenorrhea)
  • เลือดออกจากช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน (Postmenopausal bleeding)


อะไรคือสาเหตุของประจำเดือนผิดปกติ?
สาเหตุของประจำเดือนผิดปกติมีมากมาย ตั้งแต่ภาวะระดับฮอร์โมนเพศในร่างกายผิดปกติจนถึงมีพยาธิสภาพที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของประจำเดือน เช่น
  • ความเครียด ความวิตกกังวล เช่น ในช่วงใกล้สอบ ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศในร่างกายผิดปกติ มักพบในหญิงวัยเจริญพันธุ์อายุน้อยกว่า 35 ปี
  • อาหาร การอดอาหาร น้ำหนักที่เพิ่มหรือลดเร็วผิดปกติ ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ
  • การคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด มีผลเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย กดการทำงานของรังไข่
  • เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกหรือไมโอมา (Myoma uteri) ซึ่งเป็นพยาธิสภาพ/ความผิดปกติที่กล้ามเนื้อมดลูก มีผลต่อการบีบตัวของมดลูก ทำให้ประจำเดือนมามาก มานาน มีเลือดออกกะปริดกะปรอย ปวดหน่วงท้องได้
  • ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก มักทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ รบกวนระดับของฮอร์โมนเพศในร่างกาย
  • กลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ พบได้ประมาณ 5-10% ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเป็นภาวะที่เกิดจากมีฮอร์โมนเพศชายสูงเกินปกติ (แอนโดรเจน/Androgen ผู้หญิงปกติทุกคน ในร่างกายมีทั้งฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิง แต่มีปริมาณฮอร์โมนเพศชายน้อยมาก) ผู้ป่วยมักมีอาการขนดก ผิวมัน มีสิวมาก มีระดับฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล เกิดภาวะไม่ตกไข่ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ระยะห่างระหว่างรอบเดือนมากขึ้น
  • การตั้งครรภ์ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง จึงเกิดภาวะขาดประจำเดือน
  • ภาวะรังไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควร เป็นความผิดปกติของการทำงานของรังไข่ ทำให้ไม่มีการตกไข่ จึงไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเพศได้ ทำให้ไม่มีประจำเดือน
  • สาเหตุอื่นๆ เช่น
    • โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (มะเร็งเยื่อบุมดลูก) ส่วนใหญ่พบในสตรีอายุ 60 ปี โดยมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด โดยเฉพาะในวัยหลังหมดประจำเดือน
    • โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในหญิงไทย พบมากในช่วงอายุ 40-50 ปี อาการที่พบมาก คือ เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด พบได้ทั้งมีเลือดออกกะปริดกะปรอย เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
    • ยาต่างๆ เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือดหรือสมุนไพรบางชนิด
    • โรคประจำตัวบางชนิด เช่น ต่อมใต้สมองผิดปกติ เนื้องอกต่อมใต้สมองหรือความผิดปกติของต่อมไทรอยด์
    • ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ภาวะแท้งและการตั้งครรภ์นอกมดลูก

ภาวะแทรกซ้อนจากประจำเดือนผิดปกติมีอะไรบ้าง?
ประจำเดือนผิดปกติ มีจากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) ตามมา เช่น ภาวะซีดจากการเสียเลือดจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดภาวะช็อกได้ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ภาวะมีบุตรยาก การตั้งครรภ์นอกมดลูก และการมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน


แพทย์วินิจฉัยสาเหตุประจำเดือนผิดปกติอย่างไร?

ผู้หญิงที่มีภาวะประจำเดือนผิดปกติ ควรมีการจดบันทึกประจำเดือน วันแรกของรอบเดือนจนถึงวันแรกของรอบเดือนครั้งถัดไป ปริมาณเลือดประจำ เดือนที่ออก ซึ่งอาจนับจากจำนวนผ้าอนามัยที่ต้องใช้ในแต่ละวัน จำนวนวันที่มีประจำเดือน อาการที่พบระหว่างมีประจำเดือนและระหว่างรอบเดือน ภาวะเลือดออกกะปริดกะปรอย เพื่อเป็นข้อมูลที่ช่วยวินิจฉัยหาสาเหตุของประจำเดือนผิดปกติ
เมื่อสงสัยภาวะประจำเดือนผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติทั่วไป ประวัติมีประจำเดือน ประวัติการใช้ยาชนิดต่างๆ มีการตรวจร่างกาย การตรวจภายใน และการตรวจโรคมะเร็งปากมดลูก จากนั้นจึงมีการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น
  • ตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) เพื่อหาภาวะซีด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ และภาวะติดเชื้อ
  • ตรวจชิ้นเนื้อในเยื่อบุโพรงมดลูก โดยอาจทำการดูดสุ่ม หรือขูดมดลูก เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาของเยื่อบุโพรงมดลูก สามารถช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งปากมดลูก หรือภาวะไม่ตกไข่ได้
  • ตรวจการแข็งตัวของเลือด เพื่อดูการทำงานของการแข็งตัวของเลือด
  • ตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการสงสัยความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ อาจพบได้ทั้งจากภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำหรือจากภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง
  • ตรวจอัลตราซาวด์ภาพเนื้อเยื่อ/อวัยวะในอุ้งเชิงกราน เพื่อดูพยาธิสภาพของมดลูก โพรงมดลูก และรังไข่ เช่น เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูกและเนื้องอกรังไข่
  • ส่องกล้องตรวจดูโพรงมดลูก เพื่อดูพยาธิสภาพในโพรงมดลูก เช่น เนื้องอก ติ่งเนื้อ พังผืดในโพรงมดลูกหรือภาวะท่อนำไข่ตัน



รักษาประจำเดือนผิดปกติอย่างไร?

การรักษาภาวะประจำเดือนผิดปกติ ขึ้นกับสาเหตุของประจำเดือนผิดปกติ อายุ ความต้องการมีบุตร และโรคประจำตัวของผู้ป่วย โดยมีวิธีต่างๆ ดังนี้
  1. การสังเกตอาการโดยไม่มีการรักษาใด ๆ เพียงการอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ เช่น ในผู้หญิงอายุน้อย โดยเฉพาะ 1-2 ปีแรกของการมีประจำเดือน ซึ่งมักเป็นไปตามธรรมชาติที่ประจำเดือนจะมาไม่สม่ำเสมอ จากรังไข่ยังทำงานไม่เต็มที่
  2. การใช้ยา เช่น ยาแก้ปวดในกลุ่มไม่ใช่สเตรียรอยด์หรือเอนเสดส์ (NSAIDs) มีฤทธิ์ลดอาการปวดประจำเดือนและลดปริมาณเลือดประจำเดือนที่ออก ยาฮอร์โมน เช่นในผู้หญิงอายุน้อย ที่มีปัญหาการไม่ตกไข่
  3. การผ่าตัด ในผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก




ควรพบแพทย์เมื่อไร?




เมื่อมีประจำเดือนผิดปกติ ควรพบแพทย์เมื่อ
  • มีประจำเดือนก่อนอายุ 7 ปี
  • อายุ 16 ปีแล้วยังไม่มีประจำเดือน
  • ประจำเดือนมามากผิดปกติ เช่น ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2-3 ชม.หรือมีลิ่มเลือดปนต่อเนื่อง
  • ระยะเวลาของประจำเดือนมานานผิดปกติ
  • ประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ ระยะห่างระหว่างรอบเดือนมากกว่า 35 วัน
  • มีเลือดออกกะปริดกะปรอยระหว่างรอบเดือน
  • มีอาการในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนอย่างรุนแรง
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังวัยหมดประจำเดือน
  • เมื่อกังวลในอาการหรือในเรื่องเกี่ยวกับประจำเดือน

Thank;http://haamor.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น