โรคหนังแข็ง เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง
(autoimmune) และเป็นโรคในระบบเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งผลจากการอักเสบ
(การอักเสบมักมีความเกี่ยวข้องกับ autoimmune disease)ทำให้มีการสร้างใยคอลลาเจน
(collagen)ในเนื่อเยื่อต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
ทำให้เกิดเนื้อเยื่อพังผืด (fibrosis) แทรกอยู่ในอวัยวะต่าง
ๆ โดยจะแทรกในผิวหนัง อวัยวะภายใน และหลอดเลือด
การดำเนินของโรค
แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1. ระยะแรก เรียกว่า edematous phase ผิวหนังจะมีสีแดงและมีอาการบวมตึงตามมือ (puffy hand) และแขนขา อาการบวมตึงอาจลุกลามขึ้นไปถึงลำคอและใบหน้า ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าหายไปและผิวหนังเป็นร่องรอบริมฝีปาก
2.ระยะผิวหนังแข็ง
เรียกว่า indurative phase อาการบวมจะลดลง
แต่จะมีผิวหนังแข็งตึงและสีคล้ำขึ้นอย่างชัดเจน บางคนเกิดมีสีผิวกระด่างกระดำ
เรียกว่า salt and pepper skin นิ้วมือมีลักษณะซีดเขียวง่ายเมื่อสัมผัสความเย็น (Raynaud’s
phenomenon) บางคนมีผิวหนังบริเวณปลายนิ้วเป็นหลุมเรียกว่า digital
pitting scar หากนิ้วมือซีดเขียวมากอาจเกิดเนื้อเยื่อตาย (gangrene) หรือเป็นแผลเล็กๆ (ischemic ulcer) ที่ปลายนิ้ว
บางคนผิวหนังตึงแข็งมากทำให้รัดข้อนิ้วมือจนเกิดการงอผิดรูป (flexion
contracture) และทำให้กระดูกปลายนิ้วและนิ้วมือหดสั้นลง
3.ระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังระยะสุดท้าย เรียกว่า atrophic phase ผิวหนังจะรัดติดกับกล้ามเนื้อและกระดูกทำให้ไม่สามารถหยิบจับผิวหนังขึ้นได้ บางคนผิวบางมากและแห้งเกิดเป็นแผลแตกง่าย โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณเหนือ ปุ่มกระดูกต่างๆ เช่น ข้อศอก ตาตุ่ม เป็นต้น
โรคผิวหนังแข็งเป็นที่หายเองได้ และบางรายผิวหนังจะหายเป็นปกติได้โดยเฉพาะรายที่มีการดำเนินของโรคช้าและไม่มีพยาธิสภาพของอวัยวะภายใน
ผิวที่แข็งตึงจะเริ่มอ่อนตัวและหายเป็นปกติ
จุดประขาวจะจางลงแต่บางรายอาจเห็นเป็นร่อยรอยของโรคผิวแข็งตกค้างให้เห็นได้อยู่บริเวณนิ้วมือและใบหน้า
แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีการดำเนินโรคเร็วมักจะมีพยากรณ์โรคไม่ดี
มักจะมีพยาธิสภาพของอวัยวะภายในร่วมด้วยบ่อย โดยเฉพาะการเกิดพังผืดที่ปอด (pulmonary fibrosis)พังผืดในกล้ามเนื้อหัวใจ (myocardial
fibrosis) และพังผืดที่ลำไส้
ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตจากอาการทางปอด
หัวใจ ไต ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีแรกหลังจากที่เริ่มมีอาการ
อาการและความผิดปกติของระบบอื่น
ๆ
-ปวดข้อ ข้ออักเสบ มักจะเกิดกับข้อนิ้วมือ
และมักเป็นทั้ง 2 ข้าง
-ปวดกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อไม่มีแรง มักเกิดกับกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนและต้นขา
สาเหตุเนื่องมาจากการเกิดพังผืด
แทรกในกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้ออักเสบ (myositis)
-ก้อนหินปูนใต้ชั้นผิวหนัง (calcinosis cutis)
-กลืนลำบาก (dysphagia) เรอ แสบร้อนบริเวณใต้ชายโครงหรือหน้าอกจากรอยโรคที่หลอดอาหาร
และการไหลย้อนระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร (gastroesophageal
reflux) เนื่องจากเกิดพังผืดในทางเดินอาหาร
-ท้องอืด
แน่นท้อง อิ่มเร็ว จากการเคลื่อนตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง ท้องผูกจากลำไส้บีบตัวช้าลง เนื่องจากเกิดพังผืดในทางเดินอาหาร
-ท้องเสีย
-ไอ เหนื่อยง่าย
จากภาวะปอดอักเสบหรือปอดมีพังผืด หรือความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง
-ปัสสาวะออกน้อย
บวมกดบุ๋ม ความดันโลหิตสูงจากพยาธิสภาพที่ไต
ไตวาย
-พบร่วมกับกลุ่มอาการโจเกรน (Sjögren’s
syndrome) ได้แก่ ริมฝีปากแห้ง ฟันผุ ลิ้นแห้งแตก น้ำลายเหนียว
จากต่อมน้ำลายทำงานลดลง
-หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจโต หัวใจล้มเหลว
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถหยุดการดำเนินโรคได้
แม้ว่าจะมีการพัฒนายาที่ใช้ในการยับยั้งการเกิดพังผืดในเนื้อเยื่อต่างๆรวมทั้งผิวหนัง
แต่ผลการรักษายังไม่ดีเท่าที่ควร การรักษาจึงเน้นการรักษาตามอาการและประคับประคอง จนกว่าโรคจะเข้าสู่ระยะสงบหรือหายได้เอง
และเฝ้าระวังติดตามการเกิดพยาธิสภาพที่อวัยวะภายในรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา
คำแนะนำผู้ป่วย
1.ให้ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่และเฝ้าระวังพยาธิสภาพที่จะเกิดกับอวัยวะภายใน
2.คำแนะนำการปฏิบัติตัว
เช่น
· ประคบอุ่น สวมถุงมือผ้าเพื่อเลี่ยงอากาศเย็น
· อาบน้ำอุ่นพอสบายแต่ต้องไม่ร้อนจัด
ใช้สบู่อ่อนและถูร่างกายเบาๆเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งแตก
และควรใช้ครีมหรือโลชั่นทาผิวเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป
·
หมั่นทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองโดยเฉพาะบริเวณข้อมือ
ข้อต่อขากรรไกร เพื่อไม่ให้ข้อติด
โดยอาจประคบอุ่นบริเวณข้อที่ปวดตึงก่อนทำการบริหาร
·
เลี่ยงการทำงานที่ต้องเสี่ยงต่อการเกิดแผลบริเวณปลายนิ้วมือ
และตามปุ่มกระดูก เนื่องจากอาจทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อง่าย หากมีแผลที่ปลายนิ้วมือหรือที่ปุ่มกระดูก
หรือมีเนื้อตายที่ไม่อาจกลับสู่สภาพปกติภายหลังจากที่ทำให้อุ่นแล้วควรรีบปรึกษาแพทย์ และห้ามแกะหรือตัดตุ่มหินปูนใต้ผิวหนัง
· งดสูบบุหรี่
และเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่
เนื่องจากมีโอกาสทำให้เกิดพังผืดที่ปอดเพิ่มขึ้น
·
ดูแลสุขภาพในช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพช่องปากเป็นระยะ
·
ควรรับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ
แต่รับประทานหลายครั้งต่อวัน ควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน และควรนั่งพักหลังจากรับประทานอาหารเสร็จอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
ไม่ควรนอนทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะกรดไหลย้อน
· หมั่นตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หากพบว่าความดันโลหิตสูงผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
การรักษาด้วยยา
ตาราง แสดงการรักษาโรคหนังแข็ง
http://med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/701000019/Rheumatology/Sclerderma%20CPG.pdf
http://med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/701000019/Public/SSC_daily_living.pdf
http://med.md.kku.ac.th/site_data/mykku_med/701000019/Public/SSC_daily_living.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น